อุทาหรณ์ครั้งใหญ่สำหรับผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะ
ข่าวครึกโครมล่าสุดเกี่ยวกับการใช้ยวดยานพาหนะคงหนีไม่พ้นข่าวรถเก๋งที่พลัดตกจากอาคารจอดรถห้างฯ ดังย่านบางกะปิ โดยรถตกลงมาอยู่ในสภาพพลิกคว่ำ ล้อชี้ฟ้า เป็นเหตุให้คนขับเสียชีวิตทันที และไม่ว่าสาเหตุจะเกิดมาจากอะไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
จากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตามก็ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ได้ออกมาแนะนำว่า ควรนำรถเข้าเช็กระยะที่ศูนย์บริการ ที่กำหนดไว้คือ 10,000 กิโลเมตร เช็ก 1 ครั้งตามระยะ โดยตรวจสอบโดยช่างผู้ชำนาญและตรวจสอบโดยเครื่องมือเฉพาะเพื่อป้องกันปัญหาอันเกิดจากการขัดข้องหรือการเสื่อมของเครื่องยนต์
นอกจากนี้ประสบการณ์การขับขี่ก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน บางคนมีประสบการณ์การขับขี่สูงแต่เกิดอาการนอนไม่พอ พักผ่อนน้อย หรือเกิดอาการกำเริบของโรคประจำตัวบางอย่าง อุบัติเหตุก็อาจเกิดขึ้นได้ ตัวผู้ขับขี่ต้องรู้ตัวเองดีอยู่แล้วต้องระวังป้องกันตัวเองในส่วนนี้ด้วย เพราะไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ ดังนั้นจงอย่าประมาทและต้องมีสติตลอดเวลา ฉะนั้นสิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับผู้ขับขี่คือ ต้องมีสมาธิมีสติในทุกกรณีหรืสถานการณ์ ต้องจดจ่ออยู่ว่าเรากำลังขับไปไหน มีสมาธิ เพราะหากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันผู้ขับขี่จะไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย
ดังนั้นผู้ขับขี่ทั้งหลายจึงควรยกเลิกกิจกรรมที่ทำให้เสียสมาธิขณะขับรถ ดังนี้
1. การใช้โทรศัพท์มือถือ การโทรศัพท์ขณะขับรถ เพิ่มความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติ 2-4 เท่า เพราะทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิ ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง การตัดสินใจเหยียบเบรก การบังคับพวงมาลัยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินช้าลงกว่าปกติ 0.5 วินาที และส่งผลต่อการมองเห็นป้ายสัญลักษณ์ ป้ายจราจร ป้ายบอกทาง แม้จะเห็นป้ายแต่จดจำรายละเอียดไม่ได้
2. การพิมพ์ข้อความ การใช้อุปกรณ์สื่อสารรุ่นใหม่ๆ หรือเครื่องเล่นต่างๆ ในขณะขับรถ
3. การกินอาหารในรถแบบขับไปกินไป ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมเสี่ยง เพราะเหลือมือจับพวงมาลัยเพียงข้างเดียว ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจะไม่สามารถหักหลบหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทัน เพราะปฏิกิริยาตอบสนองในการขับขี่ช้าลงกว่าปกติ 2 เท่า หากกินอาหารของทอดจะทำให้มือเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน หากไปจับพวงมาลัยจะทำให้ลื่นกว่าปกติ ส่งผลให้การควบคุมพวงมาลัยลดลง
4. การแต่งหน้าขณะขับรถ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก การแต่งหน้า ทาปากระหว่างรถติดสัญญาณไฟ หรือเคลื่อนตัวช้าๆ จะทำให้สมาธิของผู้ขับขี่จดจ่ออยู่กับกิจกรรมที่ทำจนลืมไปว่ากำลังขับรถ
5. การดูโทรทัศน์ขณะขับรถ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากความสว่างของจอภาพ เสียง รวมถึงเนื้อหาของภาพที่เคลื่อนไหว ทำให้สมาธิในการควบคุมรถลดลง และความสนใจต่อเหตุการณ์รอบตัวลดลง แม้คนขับจะไม่ได้ดูโทรทัศน์ แต่เสียงที่ได้ยินก็รบกวนสมาธิ และยังกระตุ้นให้ขับเร็วกว่าปกติอีกด้วย
6. การอุ้มเด็กนั่งตักขับรถ ทำให้ประสิทธิภาพในการขับรถลดลง เนื่องจากเด็กอาจแย่งบังคับพวงมาลัย จนสมาธิของคนขับไม่อยู่ที่การขับรถ แต่กลับไปสนใจเด็กแทน ส่งผลให้ปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินช้ากว่าปกติ จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
7. การนำสัตว์เลี้ยงโดยสารรถ สัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่มักไม่นั่งนิ่งอยู่กับที่และมีพฤติกรรมตื่นตกใจง่าย หากพบเห็นสิ่งผิดปกติรอบตัวอาจกระโจนใส่คนขับรถก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ หากต้องนำสัตว์เลี้ยงขึ้นรถ ควรให้มีคนนั่งไปด้วย เพื่อควบคุมพฤติกรรมสัตว์เลี้ยง หากเป็นรถกระบะ ควรให้สัตว์เลี้ยงอยู่ท้ายกระบะรถโดยผูกเชือกหรือล่ามโซ่ยึดไว้กับรถ
8. การอ่านป้ายโฆษณาต่างๆ ริมถนน ป้ายเหล่านี้อาจทำให้ท่านตกอยู่ในความเสี่ยงได้ เพราะคนขับรถหลายคนเสียสมาธิจากการมองป้ายหรืออ่านป้ายโฆษณาเหล่านี้ ในขณะที่รถก็กำลังวิ่งอยู่ ลองคิดดูว่า ถ้าท่านขับรถด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. และละสายตาไปมองป้ายหรืออ่านป้าย 2 วินาที รถของคุณจะวิ่งไปเท่าไหร่ อย่าลืมว่าใน 2 วินาทีที่คุณมองป้ายนั้นคุณไม่ได้มองถนนเลย
ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่สูงขึ้น เมื่อรู้แบบนี้แล้วก็เลิกกิจกรรมที่นำพาซึ่งความสูญเสียกันกันดีกว่า
|